วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

นิทานพื้นบ้าน

นิทานพื้นบ้าน อุษา-บารส

เป็นนิทานที่ผู้คนในท้องถิ่นได้นำเอามาตั้งชื่อโบราณสถานที่ต่างๆ บนภูพระบาท การเที่ยวชมโบราณสถานบนภูพระบาทจึงควรต้องรู้เกี่ยวกับนิทานพื้นบ้านเรื่องนี้ เพื่อจะได้เข้าใจที่มาของชื่อตลอดจนทราบถึงคติความเชื่อของชุมชน


            มีเมืองใหญ่เมืองหนึ่งตั้งอยู่บริเวณภูพระบาทชื่อ เมืองพาน มีท้าวกงพานเป็นเจ้าเมือง พระองค์ได้ไปขอนางอุสา (เป็นผู้เกิดมาจากดอกบัวบนเทือกเขา และพระฤาษีจันทาผู้เป็นอาจารย์ของท้าวกงพานได้นำมาเลี้ยงไว้) มาเป็นราชธิดา นางอุสาเป็นผู้มีความงามเป็นเลิศ และมีกลิ่นกายหอมกรุ่น เมื่อเติบใหญ่ได้มีเจ้าชายหลายเมืองมาสู่ขอ แต่ท้าวกงพานไม่ยินยอมยกให้ผู้ใด และด้วยความหวงแหนจึงได้สร้างตำหนักเป็นหอสูงไว้บนภูเขา เพื่อให้นางอุสาอยู่อาศัยขณะเรียนวิชากับฤาษีจันทาผู้เป็นอาจารย์

             วันหนึ่งนางอุสาไปเล่นน้ำที่ลำธารใกล้ตำหนัก นางได้เก็บดอกไม้มาร้อยเป็นมาลัยรูปหงส์และลอยน้ำไปพร้อมเสี่ยงทายหาคู่ พวงมาลัยได้ลอยไปจนถึงเมืองปะโคเวียงงัวที่มีท้าวบารสเป็นโอรสของเจ้าเมือง ท้าวบารสเก็บพวงมาลัยได้จึงออกตามหาเจ้าของจนถึงเขตเมืองพาน

             ท้าวบารสและบริวารได้ขี่ม้าจนถึงหินก้อนหนึ่ง ม้าก็ไม่ยอมเดินทางต่อ พระองค์จึงหยุดพักม้าไว้ ส่วนบริวารก็แยกไปผูกม้าที่หินอีกก้อนหนึ่ง ท้าวบารสได้เดินเที่ยวป่าพบนางอุสาที่กำลังอาบน้ำอยู่ และรู้ว่าเป็นเจ้าของพวงมาลัยทั้งคู่เกิดความรักและลักลอบได้เสียกัน โดยที่ท้าวกงพานไม่รู้ ต่อมาท้าวกงพานทราบเรื่อง ก็ทรงพิโรธจะประหารท้าวบารส แต่เสนาอำมาตย์ห้ามไว้เพราะเกรงฤทธิ์เดชพระราชบิดาของท้าวบารส ท้าวกงพานจึงคิดอุบายให้แข่งขันสร้างวัดในหนึ่งวันให้แล้วเสร็จ

             โดยเริ่มนับตั้งแต่เช้าจนดาวประกายพรึก (ดาวเพ็ก) ขึ้น ผู้ใดสร้างไม่เสร็จต้องถูกตัดเศียร ท้าวกงพานได้เกณฑ์ไพร่พลจำนวนมากมาสร้างวัดที่เมืองกงพาน ส่วนท้าวบารสมีบริวารเพียงเล็กน้อยที่มาด้วยจึงสร้างได้ช้ากว่า พี่เลี้ยงนางอุสาจึงคิดหาวิธีช่วยโดยให้ท้าวบารสนำโคมไฟไปแขวนบนยอดไม้ใหญ่ในเวลาดึก ฝ่ายพวกเมืองพานมองเห็นคิดว่าดาวขึ้นแล้วจึงหยุดสร้างวัด ส่วนท้าวบารสก็ได้เร่งสร้างวัดของตนเองจนแล้วเสร็จ เมื่อเป็นดังนี้ท้าวกงพานจึงเป็นฝ่ายแพ้ และถูกตัดเศียรสิ้นชีพไป

            ต่อมาท้าวบารสได้พานางอุสากลับเมืองปะโค แต่เนื่องจากท้าวบารสมีชายาอยู่แล้วจึงถูกชายาเหล่านั้นกลั่นแกล้ง โดยไปสมคบกับโหราจารย์ให้ทำทายว่าท้าวบารสมีเคราะห์ต้องออกเดินป่าผู้เดียวเป็นเวลาหนึ่งปี จึงจะพ้นเคราะห์ ท้าวบารสก็ออกเดินป่า ทิ้งนางอุสาไว้ที่เมืองปะโค นางอุสาถูกทำร้ายและกลั่นแกล้งจึงหนีกลับไปเมืองพานและล้มเจ็บด้วยความตรอมใจ เมื่อท้าวบารสกลับถึงเมืองและทราบข่าวก็รีบออกเดินทางไปยังเมืองพาน แต่พบว่านางอุสาสิ้นใจแล้ว จึงฝังศพนางไว้ที่หินก้อนหนึ่ง ส่วนพระองค์ก็ตรอมใจตายตามกันไป เหล่าบริวารจึงฝังศพท้าวบารสเอาไว้เคียงข้างกับศพนางอุสา

การให้บริการ

วันเวลา เปิด – ปิด
เปิดทำการทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา8.30 น.–16.30 น.

การบริการ

                ให้บริการในฐานะแหล่งมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ  โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกดังต่อไปนี้ ศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว , หอประชุม , ห้องสมุด , บ้านพักรับรอง , ห้องสุขา , ร้านจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม , ร้านจำหน่ายของที่ระลึกและรถสี่ล้อขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า

ค่าเข้าชม   ชาวไทย 20 บาท
                    ชาวต่างชาติ 100 บาท

การเดินทาง

การเดินทาง


ภูพระบาทอยู่ห่างจากจังหวัดอุดรธานี 68 กม. ตามเส้นทางสายอุดรธานี – หนองคาย (ทางหลวงหมายเลข 2 ) ถึง กม.ที่ 13 เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 2021 ไปอำเภอบ้านผือ 42 กม. จากนั้นเลี้ยวขวาไปประมาณ 500 เมตร แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนหมายเลข 2348 อีกประมาณ 12 กม. จะถึงที่ตั้งอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท

แผนที่
จุด A แสดงที่ตั้งของ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท
ที่อยู่ บ้านติ้ว ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
ตำแหน่ง GPS คือ 17.731662, 102.357203

แหล่งท่องเที่ยวในอุทยาน

โบราณสถานสำคัญ

ภายในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ได้มีการสำรวจพบโบราณสถานแล้ว ๖๘ แห่ง แบ่งเป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ๔๕ แห่ง และสิ่งก่อสร้างที่ดัดแปลงเพิงหินธรรมชาติให้เป็นศาสนสถาน ๒๓ แห่ง โบราณสถานทั้งหมดตั้งกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ในที่นี้จะนำเสนอเฉพาะโบราณสถานที่น่าสนใจ และสามารถเข้าชมได้สะดวก ดังต่อไปนี้ 

๑) หอนางอุสา 


“หอนางอุสา” ถือเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท มีลักษณะเป็นโขดหินคล้ายรูปเห็ดอยู่บนลาน เดิมเกิดจากการกระทำตามธรรมชาติ ต่อมาคนได้ดัดแปลงโดยการก่อหินล้อมเป็นห้องขนาดเล็กเอาไว้ที่เพิงหินด้านบน มีใบเสมาหินขนาดกลางและขนาดใหญ่ปักล้อมรอบโขดหิน แสดงว่า บริเวณนี้เป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ทางพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ครั้งอดีตกาลแล้ว 

๒) ถ้ำพระ 



“ถ้ำพระ” เดิมคงเป็นเพิงหินขนาดใหญ่ ที่เกิดจากก้อนหินขนาดใหญ่วางทับซ้อนกันตามธรรมชาติ ต่อมา คนได้สกัดหินก้อนล่าง ออกจนกลายเป็นห้องขนาดใหญ่ รวมไปถึงสลักรูปพระพุทธปฏิมาเอาไว้ในห้องอีกด้วย นอกจากนี้ ยังพบร่องรอยของหลุมเสาด้านนอกเพิงหินเรียงอยู่เป็นแนวในกรอบรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า จึงสันนิษฐานว่า เดิมอาจมีการต่อหลังคาเครื่องไม้ออกมาด้านนอก ทำ ให้หลังคาเพิงหินก้อนบนทรุดตัวพังทลาย และส่วนหนึ่งได้ล้มทับพระพุทธปฏิมาจนชำรุดเสียหายไปด้วย 

๓) ถ้ำวัว - ถ้ำคน 



มีลักษณะเป็นเพิงหินขนาดใหญ่วางทับซ้อนกัน ทำให้เกิดเป็นชะง่อนหิน ที่สามารถใช้หลบแดดหลบฝนอยู่ทางด้านล่างของเพิง ส่วนทางด้านทิศตะวันออกของเพิงหิน พบภาพเขียนรูปสัตว์และรูปคน จึงเรียกว่า “ถ้ำวัว - ถ้ำคน” เป็นภาพเขียนสีที่มีอายุมากกว่า 3,000 ปี 

๔) แหล่งภาพเขียนสีโนนสาวเอ้ 



แหล่งภาพเขียนสีโนนสาวเอ้ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของวัดพระพุทธบาทบัวบก บริเวณนี้พบแหล่งภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์บนผนังเพิงหินอยู่ ๒ จุด จุดแรกได้แก่ “โนนสาวเอ้ ๑” ซึ่งเป็นโขดหินขนาดใหญ่อยู่กลางลานหิน ภาพเขียนสีบนผนังเขียนด้วยสีแดงคล้ำ เป็นลายเส้นรูปต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีลายเส้นเขียนด้วยสีขาว เป็นภาพช้าง หงส์ และม้า ซึ่งจากฝีมือที่ปรากฏสันนิษฐานว่า เป็นงานที่เขียนขึ้นในสมัยหลัง ถัดจากโนนสาวเอ้ ๑ ออกไปประมาณ ๕ เมตร เป็นที่ตั้งของแหล่งภาพเขียนสี “โนนสาวเอ้ ๒” ซึ่งปรากฏภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์เช่นกัน บนผนังเพิงหินด้านทิศตะวันออกและทิศใต้ ภาพเขียนสีที่พบได้แก่ ภาพลายเส้นคู่ขนานต่อกันเป็นรูปหลายเหลี่ยม ภาพวงกลมคล้ายลายก้านขด ภาพลายเส้นคล้ายสัตว์ที่มี ๔ ขา 

อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทเป็นแหล่งรวบรวมสิ่งสำคัญ ทั้งทางด้านศิลปวัฒนธรรม และทางด้านธรรมชาติเข้าด้วยกัน มานานนับเป็นพันปี จึงเป็นมรดกสำคัญที่ ชนชาวไทยควรจะต้องช่วยกันรักษาให้คงไว้ตลอดไป

ความสำคัญทางประวัติศาสตร์

ความสำคัญทางประวัติศาสตร์

สภาพภูมิประเทศของภูพระบาทมีลักษณะเป็นโขดหินและเพิงผาที่กระจัดกระจายอยู่เป็นจำนวนมาก เกิดจากการผุพังสลายตัวของหินทราย ซึ่งมีเนื้อหินที่แข็งแกร่งแตกต่างกัน ระหว่างชั้นของหินที่เป็นทรายแท้ๆ ซึ่งมีความแข็งแกร่งมาก กับชั้นที่เป็นทรายปนปูนซึ่งมีความแข็งแกร่งน้อยกว่า นานๆ ไปจึงเกิดเป็นโขดหิน และเพิงผารูปร่างแปลกๆ ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน 


 
ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ประมาณ ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว วิถีชีวิตของผู้คน ในสมัยนั้นดำรงชีวิตด้วยการเก็บของป่า และล่าสัตว์เป็นอาหาร เมื่อขึ้นมาพักค้างแรม อยู่บนโขดหินและเพิงผาธรรมชาติเหล่านี้ก็ได้ใช้เวลาว่างขีดเขียนภาพต่างๆ เช่น ภาพคน ภาพสัตว์ ภาพฝ่ามือ ตลอดจนภาพลายเส้นสัญลักษณ์ต่างๆไว้บนผนังเพิงผาที่ใช้พักอาศัย ซึ่งปรากฏอยู่ในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทเป็นจำนวนมาก เช่น ที่ถ้ำวัว - ถ้ำคน และภาพเขียนสีโนนสาวเอ้ ซึ่งภาพเขียนสีบนผนังหินเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนาให้ผู้คนในชั้นหลังค้นหาความหมายที่แท้จริงต่อไป           นอกจากนี้ ยังได้พบหลักฐานทางวัฒนธรรมสมัยทวารวดีในพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๖ อยู่ด้วย อาทิ การดัดแปลงโขดหินให้เป็นศาสนสถาน โดยมีคติการปักใบเสมาหินขนาดใหญ่ล้อมรอบเอาไว้ และลักษณะของพระพุทธปฏิมาบางองค์ที่ถ้ำพระ ก็แสดงถึงอิทธิพลศิลปกรรมสมัยทวารวดีอย่างเด่นชัด ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๘ อิทธิพลของศิลปกรรมแบบเขมรได้เข้ามามีบทบาทในบริเวณนี้ด้วย เนื่องจากได้พบการสกัดหินเพื่อดัดแปลงพระพุทธรูปที่บริเวณถ้ำพระให้เป็นรูปพระโพธิสัตว์ หรือเทวรูปในศาสนาฮินดู โดยได้สลักส่วนของผ้านุ่งด้วยลวดลายที่งดงามยิ่ง 
 
ครั้นถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๒ - ๒๓ พื้นที่แถบอีสานตอนบนเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะที่อยู่ติดกับลำน้ำโขง ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมลาวหรือล้านช้าง จากการศึกษาพบว่า มีร่องรอยของงานศิลปกรรมสกุลช่างลาวอยู่บนภูพระบาท ดังเห็นได้จากพระพุทธรูปขนาดเล็กบริเวณถ้ำพระเสี่ยง แสดงถึงศิลปะสกุลช่างลาว ส่วนสถาปัตยกรรมในสมัยนี้ได้แก่ เจดีย์ร้าง (อุปโมงค์) ที่สันนิษฐานว่า เดิมอาจใช้สำหรับประดิษฐานรอยพระพุทธบาท ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์อุรังคธาตุ 

            นอกจากภูพระบาทจะมีความสัมพันธ์กับคัมภีร์อุรังคธาตุแล้ว ผู้คนในท้องถิ่นยังได้นำเอาตำนานพื้นบ้าน หรือนิทานพื้นเมืองเรื่อง “อุสา - บารส” มาตั้งชื่อ และเล่าถึงสถานที่ต่างๆ บนภูพระบาทอย่างน่าสนใจด้วยเหตุนี้จึงพบว่า โบราณสถานต่างๆ บนภูพระบาทล้วนมีชื่อเรียกตามจินตนาการจากนิทานเรื่อง “อุสา - บารส” เป็นส่วนใหญ่ อาทิ หอนางอุสา กู่นางอุสา บ่อน้ำนางอุสา วัดลูกเขย วัดพ่อตา คอกม้าท้าวบารส 
             อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทมีลักษณะที่แตกต่างจากอุทยานประวัติศาสตร์แห่งอื่นๆ ของกรมศิลปากรที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะนอกจากจะมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์โบราณคดีแล้ว ยังมีความสำคัญทางด้านนิเวศวิทยา เนื่องจากเป็นที่ตั้งของวนอุทยานภูพระบาทบัวบก ของกรมป่าไม้ ซึ่งมีพืชพรรณทั้งไม้ดอกและไม้ใบขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก 

ที่ตั้ง

ที่ตั้ง


        อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ตั้งอยู่ในเขตตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ห่างจากกรุงเทพมหานคร ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๕๗๐ กิโลเมตร ภูพระบาทเป็นชื่อภูเขาอยู่ในทิวเขาภูพาน ซึ่งทอดยาวอยู่ทางด้านทิศตะวันตก 

         เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๔ กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานบริเวณภูพระบาท ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าเขือน้ำ” โดยขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าจากกรมป่าไม้จำนวน ๓,๔๓๐ ไร่ และได้ดำเนินการพัฒนาให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๒ เป็นต้นมา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๕ 



ค้นหาล่าสุด

นิทานพื้นบ้าน

นิทานพื้นบ้าน อุษา-บารส เป็นนิทานที่ผู้คนในท้องถิ่นได้นำเอามาตั้งชื่อโบราณสถานที่ต่างๆ บนภูพระบาท การเที่ยวชมโบราณสถานบนภูพระบาทจึงควรต้...